Dino x Hibari [D18] “Memory of Acacia”
“......ความรักบริสุทธิ์ ที่ต้องหลบซ่อนปิดบังและไม่สามารถบอกออกไปได้......
คือความหมายอันโหดร้าย
ของพรรณไม้ที่แสนงดงาม
......อเคเซียที่กำลังเบ่งบาน.....”
“เคียวยะ มาดูนี่ซิ” ร่างสูงสง่ากลางทุ่งดอกไม้ในวันสบายๆ
กับเส้นผมสีทองที่ปลิวไสวเจิดจ้ากลางแสงอาทิตย์ ใบหน้าร่าเริงกับรอยยิ้มสดใส
ทำเอาคนที่ถูกเรียกรู้สึกหมั่นไส้อย่างบอกไม่ถูก
“อะไรของนายอีก” ร่างบางเดินเข้ามาพร้อมกับใบหน้าบอกบุญไม่รับ
เมื่อเห็นดังนั้นร่างสูงก็อดที่จะแอบขำไม่ได้
“ยิ้มหน่อยนะเคียวยะ นี่ไงดอกอเคเซีย” ...อเคเซีย... ดอกไม้ดอกเล็ก มีกลีบสีขาวนวลดูสวยหวาน ยิ่งอยู่รวมกันเยอะๆแล้วก็ยิ่งดูสวยมากขึ้นไปอีก แต่ปัญหาก็คือ.......
“ทำไมมันไม่บาน” ร่างบางกล่าวออกมาเมื่อพิจารณาดูแล้วว่า...มันเป็นเช่นนั้น
“ห๊ะ?!...โธ่เอ้ย เคียวยะมันก็ต้องมีบานบ้าง ไม่บานบ้างสิ” ร่างสูงแก้ตัว
“แต่นี่มันไม่บานทั้งทุ่ง” ร่างบางมองไปรอบๆตัวก็พบแต่ดอกไม้ที่ยังไม่ยอมบาน
“ไม่จริง....เป็นไปไม่ได้ ทำไมมันไม่บานล่ะ อ๊ะ!! เดี๋ยวซิ เคียวยะ
อย่าพึ่งไป” ร่างบางที่เห็นอีกฝ่ายเอาแต่หมุนไปหมุนมาก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิดจนต้องเดินหนี
แต่คนตัวโตก็ไหวตัวทันรีบคว้าข้อมือเอาไว้ ก่อนที่คนตัวเล็กจะเดินหนีไป
“นายนี่มันงี่เง่าชะมัด พาฉันมาดูดอกไม้ที่ยังไม่บาน
เสียเวลาขย้ำเจ้าพวกสัตว์กินพืชจอมเกะกะพวกนั้นจริงๆ หรือนายอยากจะโดนเป็นคนแรก” ไม่ว่าเปล่าร่างบางก็ฉวยเอาทอนฟาอาวุธคู่กายออกมาพร้อมกับฟาดใส่ในทันที
“ใจเย็นสิ เคียวยะ! ก็ฉันไม่รู้นี่ว่ามันจะบานเมื่อไหร่” ร่างสูงว่าพลางถอยหลังหลบการโจมตีของอีกฝ่าย
“ก็หัดทำตัวให้มันรู้เรื่องซะบ้างซิ!” ร่างบางเริ่มฉุนจัด
“ฉันขอโทษ เอาอย่างนี้แล้วกันคราวหน้าถ้ามันบานฉันจะพาเคียวยะมาดูนะ” ร่างสูงยื่นข้อต่อรอง
“หึ!! อย่าทำให้คนอื่นเขาต้องเสียเวลามากนักได้มั๊ย” ร่างบางลดทอนฟาลงพร้อมกับหันหลังเตรียมจะเดินหนี
“ฉันสัญญา ถ้ามันบานปุ๊บ ฉันจะพาเคียวยะมาดูทันที” เมื่อได้ยินดังนั้น ร่างบางก็หยุดชะงักพร้อมกับหันมามองร่างสูง
“มาดูด้วยกัน...สองคนนะ” ร่างสูงกล่าวอ้อนด้วยสายตาอันมุ่งมั่น
“...อย่าผิดสัญญาก็แล้วกัน” ร่างบางเดินจากไปทันทีเมื่อพูดจบ
2 อาทิตย์ผ่านไป
“โรมาริโอ้! ดอกอเคเซียบานแล้ว” ร่างสูงผมทองเอ่ยอย่างดีใจกับดอกไม้ในทุ่งกว้างสุดลูกหูลูกตา
“โฮ้....ดีใจด้วยนะบอส” โรมาริโอ้ลูกน้องคนสนิทกล่าว
“ดูสิ!! มันบานแล้วสวยมากเลยนะ” ร่างสูงนั่งลงพลางจ้องมองดอกไม้ตรงหน้าอย่างมีความสุข
“ใช่เลยบอส เป็นความพยายามที่ยอดเยี่ยมจริงๆ” โรมาริโอ้เอ่ยชมในความตั้งใจของเจ้านาย
“ฉันว่า...เคียวยะต้องชอบแน่ๆเลย” ใบหน้าของร่างบางที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม
ทาบทับเข้ามาในความคิดของร่างสูงที่กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แข่งกับดอกไม้ที่เบ่งบาน.....
“แต่นี่มันยังบานไม่กี่ต้นเองนะบอส
รอซักหน่อยให้มันบานเยอะกว่านี้ก่อน แล้วค่อยพาเคียวยะมาดู ถ้าพามาตอนนี้มีหวังโดนโกรธอีกแน่ๆ” โรมาริโอ้เอ่ยขึ้นขัด ทำเอาร่างสูงถึงกับหุบยิ้มแทบจะทันที
“นั่นสินะ เอาเป็นรออีกซักอาทิตย์ แล้วค่อยพาเคียวยะมาแล้วกัน” จากความคิดในตอนแรกที่มีเพียงร่างบางกับรอยยิ้มหวาน
กลับเปลี่ยนเป็นใบหน้าไม่พอใจกับอาวุธแสนอันตรายที่ดูคุ้นเคย
“แต่ยังไงๆ ฉันก็อยากให้เคียวยะมาดูเร็วๆอยู่ดี” ร่างสูงเอื้อมมือไปจับดอกอเคเซียอย่างถะนุถนอม
ราวกับว่ากำลังสัมผัสร่างบางที่เขาคิดถึง
“งั้นก็ อีกสองวัน ธุระของเราน่าจะเสร็จแล้ว
บอสจะได้ไปรับเคียวยะมาดูดอกไม้ไง ดีมั๊ยบอส” โรมาริโอ้เสนอ
“อืม!!...ดีมากเลย อีกสองวัน จองตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่นได้เลยโรมาริโอ้
ฉันจะรีบทำงานให้เสร็จเร็วๆ..........เคียวยะจะได้มาดูดอกไม้แล้ว เฮ้!!!” ร่างสูงกล่าวอย่างตื่นเต้น เขาแทบจะรอให้เวลาผ่านไปจนครบสองวันไม่ไหว
“ได้เลยบอส” โรมาริโอ้รับคำ
“อื้อๆ” ร่างสูงพยักหน้าเป็นสัญญาณว่า ดีมาก
โรมาริโอ้เดินจากไปเพื่อทำตามคำสั่ง เหลือเพียงร่างสูงที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม
‘อีกสองวันนะ เคียวยะ ฉันจะไปรับ’
......อีกแค่สองวันเท่านั้น.................
อีกแค่....................................สองวัน
ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!!! เสียงของกระสุนปืนที่ไม่สามารถนับจำนวนได้
ถูกเหนี่ยวไกออกไปด้วยความรวดเร็ว พร้อมกับภาพของร่างสูงที่เคยสง่างาม
กำลังล้มลงไปนอนจมกองเลือดอยู่ที่พื้น.......
“บอส!!!!!!!!!!!!!!” เสียงตะโกนด้วยความตกใจดังขึ้น
เหล่าสมาชิกในแก๊งต่างพากันรีบวิ่งเข้ามาเพื่อปกป้องร่างของผู้เป็นนาย
“บอส ทำใจดีๆไว้นะ บอสต้องไม่เป็นอะไร” ลูกน้องคนสนิทรีบเข้ามาประคองร่างสูงเพื่อเรียกสติ
โลหิตสีแดงสดที่ไหลรินออกมาจากปากแผลนั้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
“โร....มา...ริ...โอ้” ร่างสูงพยายามเปล่งเสียงเรียกออกมาอย่างยากลำบาก
“ครับ...บอส พวกเราอยู่ที่นี่แล้ว บอสต้องกลับไปกับพวกเรานะ” คนที่ถูกเรียกพยายามทำทุกวิถีทางให้คนที่เป็นนายรู้ว่าพวกเขายังอยู่ข้างๆ
พลางกุมมือเอาไว้แน่น คนอื่นๆก็ช่วยกันจัดการศัตรู
บ้างก็เรียกรถพยาบาลมาเพื่อรักษาคนเจ็บ
“ทำไมบอสทำแบบนี้...ฮึก...บอสจะช่วยผมทำไม...ฮึก...บอสรู้มั๊ย...ชีวิตของบอสสำคัญกว่าผมอีกนะ” หนึ่งในลูกน้องที่มาด้วย ผู้ที่ได้รับการช่วยชีวิตจากเจ้านาย
ดั่งได้รับการแลกเปลี่ยนชีวิตใหม่ หากคนหนึ่งอยู่ อีกคนก็ต้องไป แล้วคนที่ไปจะเป็นใครล่ะ?? ช่างเป็นการแลกเปลี่ยนที่โหดร้ายสำหรับพวกเขาเหลือเกิน........
“ไม่ว่า...ชีวิตใคร....ก็สำ...คัญ.....เหมือนกัน...ยังไง....สักวัน...ฉันก็....ต้อง...ตา...ย” ถูกอย่างที่พูด....แต่ใครจะคาดคิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้
“ฉัน....คง...จะ...ไม่” เสียงอันแผ่วเบาพยายามเปล่งออกมาด้วยสติที่เหลืออยู่
“ไม่! บอสต้องรอดนะ บอสต้องกลับไปกับพวกเรา” ลูกน้องหลายคนให้กำลังใจ พวกเขายังคงต้องการให้นายของเขาได้มีชีวิตอยู่ต่อ
“มัน...ค่อนข้าง.....ยาก...นะ” ร่างสูงฝืนยิ้มออกมาเพื่อให้ทุกคนคลายกังวล แต่ดูจะไม่เป็นผลสักเท่าไหร่
“บอส...ฮึก...อย่าพูด...ฮึก...แบบนั้นสิ” น้ำตาแห่งความเสียใจของลูกผู้ชายเริ่มไหลริน ณ
วินาทีนี้คำว่าศักดิ์ศรี คงใช้แลกกับชีวิตของเจ้านายอันเป็นที่รักไม่ได้ หากแต่น้ำตานี้จะสามารถบอกถึงความรู้สึกทั้งหมดของพวกเขา
ก็ขอให้มันหลั่งไหลไปอย่าได้หยุด
“แปะ...แปะ....ซ่า~” หยั่งกับว่าสวรรค์จะรับรู้ถึงความเจ็บปวดในช่วงเวลาอันน่าเศร้านี้
สวรรค์จึงได้ส่งน้ำตาแห่งฟากฟ้ามาลบเลือนความปวดร้าวให้หายไปพร้อมๆกับรอยเลือดที่ค่อยๆจืดจาง
“โร...มา ริโอ้...ช่วยอะไร...ฉัน...ได้มั๊ย” ริมฝีปากขาวซีด มือที่เริ่มจะเย็นชืด และเสียงที่เปล่งออกมานับครั้งก็จะยิ่งแผ่วลง...แผ่วลง
เรื่อยๆ
“ได้สิบอส...ไม่ว่าอะไรผมก็จะทำ” ผู้ที่ถูกเรียกรับคำ พลางกุมมือที่ไร้เรี่ยวแรงไว้แน่นแทนการตอบรับ
“ช่วย...เอา........นั่น....ให้....เคียว....ยะ...ด้วย” เสียงที่เริ่มขาดหาย ทำเอาหัวใจคนฟัง...เต้นไม่เป็นจังหวะ
“ได้เลยบอส ผมสัญญา ว่าต้องถึงมือเคียวยะแน่นอน” คำสัญญาอันหนักแน่นของผู้เป็นลูกน้อง ดังก้องอยู่ภายในสติที่เหลือน้อยลงเต็มที
“อืม....” แววตาที่เลื่อนลอย จ้องมองไปยังเบื้องบนที่มีเพียงเมฆาสีหม่นปกคลุมทั่วทั้งฟากฟ้า
ดั่งคำลาและการไว้อาลัย สายฝนยังคงโปรยปรายไม่ยอมหยุด
“ฮะๆ...เคีย...วยะ...ต้อง...โก...ร...ธ...แน่ๆ...ที่...ฉัน...ผิด...สัญ...ญา” ภาพตรงหน้าค่อยๆเลือนราง ก่อนที่นัยน์ตาสีทองคู่สวยจะปิดลงอย่างช้าๆ
พร้อมกับรอยยิ้มที่ประทับบนใบหน้า และคำพูดประโยคสุดท้ายในชีวิตที่เขาได้เอ่ยมันออกมาจากก้นบึ้ง...ที่ลึกที่สุดของ...หัวใจ
“บอส!!!!!!!” “ไม่นะบอส โฮ~~~~” มือที่ถูกกุมไว้เลื่อนหลุดเป็นอิสระและตกสู่พื้น เป็นสัญญาณบอกถึงการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของบุรุษผู้ถูกขนานนามว่า
“ม้าพยศ”.........ดีโน่ คาวัลโลเน่
........เคียวยะ.........ลาก่อนนะ.......
“อึก.......อะ...อะไรน่ะ” เหงื่อที่ผุดตามใบหน้าและร่างกาย
บอกได้ไม่ยากเลยว่า คงฝันร้ายมาแน่ๆ
“ทำไมฉัน ฝันถึงหมอนั่นได้นะ” นัยน์ตาสีรัตติกาลหลับลงเพื่อนึกถึงความฝันที่พึ่งจะผ่านไปเมื่อครู่
“แล้วหมอนั่น......” ร่างบางยังคงนั่งนิ่ง
มองมือของตนอยู่เงียบๆ หากแต่จิตใจกลับปั่นป่วนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ภาพของชายหนุ่มร่างสูง
ผมสีทองอำพันเหมือนกับดวงตาคู่สวยเข้ามาทาบทับในความคิด
“จะมาลาไปไหนกัน.......เจ้าม้าพยศ” ภาพของร่างสูงที่กำลังยืนโบกมือลา ...กับใบหน้าที่ถูกประดับด้วยรอยยิ้มอันขมขื่นก่อนจพค่อยๆหันหลัง....เดินจากไป
สามวันต่อมา
“หัวหน้าครับ คุณโรมาริโอ้ มาขอพบครับ” ประตูที่ถูกเปิดออกพร้อมกับผู้บุกรุกที่เข้ามาทำลายเวลาอันแสนสงบ ส่งผลให้เจ้าของห้องไม่สบอารมณ์เลยแม้แต่น้อย
“ก็ให้เข้ามาสิ...” ร่างบางเอ่ยพร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวยาว
และเปิดอ่านหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าอย่างไม่สนใจ
“.....ครับ” อีกฝ่ายรับคำก่อนจะเดินออกไปเพื่อพาแขกผู้มาใหม่
เข้าพบหัวหน้าของเขา ชายสวมแว่นตาในชุดสูทสีดำ ใบหน้าที่หมองหม่น บรรยากาศรอบๆตัวของเขามีแต่ความโศกเศร้าไม่เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา
“สวัสดี เคียวยะ” ผู้มาใหม่ทักทายร่างบางที่ยังไม่ละสายตาจากหนังสือที่กำลังอ่าน
“มีอะไรก็ รีบๆว่ามา ผมไม่อยากเสียเวลาสำรวจความเรียบร้อยของโรงเรียน” คำพูดที่ดูไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องที่จะนำมาบอก
ท่าทีที่เย็นชาเช่นเคย ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงเป็นเรื่องปกติ
แต่ในวันนี้มันคงเป็นข่าวสุดท้ายจากพวกเขา
“เคียวยะ......บอส.....เสียชีวิตแล้วนะ”
“ตึก!!.......พรึบ~~~” มือบางสั่นไหวจนทำให้หนังสือเล่มหนาที่อยู่ในมือตกลงบนพื้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ
น้ำเสียงจากผู้ที่มาแจ้งข่าว ฟังแล้วไม่มีทางปฏิเสธได้เลยว่า......มันไม่เป็นความจริง
“ได้...ยังไง....หมอนั่น” เสียงหวานสั่นเครือ
ถึงจะรู้ว่ามันเป็นความจริง แต่ใจกลับไม่อยากเชื่อแม้แต่น้อย
“บอส....เสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยพวกเรา ก็เลยถูกยิงจากฝ่ายศัตรู
บอสเขาเลย.....” ใบหน้าที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน ว่าขนาดตัวเองยังไม่อยากจะยอมรับผลจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ทำเอาร่างบางที่รอฟังทนไม่ไหว
“.......กล้าดียังไง ถึงมาตายไปแบบนี้” ร่างบางเอ่ยขึ้นขัด มือบางกำแน่นด้วยความสับสน
‘ฝันเมื่อคืน.......’ หยั่งกับว่าภาพในความทรงจำเริ่มฉายชัดในความคิด ร่างสูงที่โบกมือลา
กับรอยยิ้มที่แสนจะขมขื่น ยังคงติดค้างและวกวนอยู่ในสมอง
“ใจเย็นก่อนเคียวยะ
ที่ฉันมาวันนี้ก็เพื่อจะมาขอให้เธอ....กลับไปอิตาลีด้วยกัน” โรมาริโอ้เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ และแรงกดดันที่ร่างบางสร้างขึ้น
“จะให้ไปทำไมอีก ผมไม่มีธุระอะไรที่นั่น” ร่างบางพยายามควบคุมอารมณ์ที่เริ่มจะปะทุขึ้น
พร้อมกับสลัดความรู้สึกที่....มันเจ็บข้างในอก...ราวกับว่ามันจะเอ่อล้นออกมา.........เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึก
ทรมานขนาดนี้......ทรมาน.....จนแทบทนไม่ไหว....
“ขอร้องล่ะเคียวยะ นี่เป็นคำขอสุดท้าย....ของบอส” นัยน์ตาสีรัตติกาลที่แข็งกร้าวอยู่เมื่อครู่กลับอ่อนลง
เพียงเพราะคำพูดที่เอ่ยอ้างถึงความต้องการของผู้ที่จากไป
ไม่น่าจะทำให้คนที่มักจะเฉยชาต่อโลกใบนี้ต้องให้ความสำคัญ...........แต่ครั้งนี้มันกลับให้ผลตรงกันข้าม
“ได้......งั้นผมจะไป”
“เคียวยะ
ฉันขอโทษนะ” เสียงกระซิบที่ดูคุ้นเคยดังขึ้น แฝงไปด้วยความโศกเศร้า
ความห่วงหาและอาวรณ์ เพราะเยื่อใยที่ทำยังไงก็คง...ตัดไม่ขาด
“เจ้าม้าพยศ!!!” ร่างบางพยายามตะโกนเรียกคนที่ยิ่งเดินห่างออกไป
สองเท้าก้าวเดินตามอย่างไม่รู้ตัว
“ลาก่อนนะ......” คำลาถูกเอ่ยออกมา
ให้ความรู้สึกว่าไม่ต้องการจะหายไป.....แต่นั่นมันคงจะเป็นไปไม่ได้
“อย่ามาล้อเล่นนะ นายสัญญาอะไรไว้ก็ทำให้มันได้สิ” ร่างบางเร่งฝีเท้ามากขึ้นจนกลายเป็นวิ่งตาม
แต่ทำยังไงก็ไม่มีทีท่าว่าจะทัน ไม่มีหวังว่าจะเอื้อมถึงเลย.......แม้แต่น้อย
“ฉัน.....ร......ก....เคีย....ว...ยะ....นะ” คำพูดที่เลือนรางไปพร้อมกับเงาของร่างสูงที่ค่อยๆจางหายไปจากคลองสายตา
“หยุดนะ! ฉันบอกให้หยุด” เสียงที่ตะโกนออกไปดูจะไร้ความหมาย
ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆตัวเหลือแต่ความว่างเปล่า
“แฮ่ก....ฮะ กลับมาสิ เจ้าสัตว์กินพืช” ร่างบางวิ่งไปจนหมดแรง
ทำไม.......ฉันต้อง............มาวิ่งตามนาย.........ด้วยนะ?.....
นายเป็นใคร........ที่ฉันต้องมาทำอะไร...........แบบนี้.......
อะไรกัน.......ความรู้สึกแปลกๆนี่......ฉันเป็นอะไร....
“ยะ....เคียวยะ” เสียงหนึ่งปลุกคนที่หลับอยู่ให้รู้สึกตัว
“หืม?.............”
แพรขนตาสวยกระพริบถี่เพื่อปรับสายตาให้ชินกับแสงที่เล็ดรอดเข้ามา
“ถึงแล้วล่ะ” ร่างบางก้าวเท้าลงจากรถอย่างเชื่องช้า
ภาพตรงหน้าคือบ้านพักตากอากาศหลังเล็กๆ สลักไว้ด้วยชื่อ ‘คาบัคโลเน่’ หากแต่ไร้ซึ่งเงาของผู้ที่เคยมายืนต้อนรับตนด้วยรอยยิ้มที่สดใส
“เคียวยะ เข้าไปในบ้านเถอะ” ร่างบางเดินตามเข้าไปในบ้านอย่างเก้ๆกังๆ
ราวกับว่าไม่เคยมาที่นี่เลยสักครั้ง เพราะบรรยากาศรอบๆตัว ไม่เหมือนเก่า......ไม่มีเขาทุกอย่างก็เปลี่ยนไป.....ไม่มีใครมาคอยเดินเคียงข้าง......หยอกล้อ.....หรือทำให้รู้สึกโมโห
ช่วงเวลาที่เคยมีความรู้สึกหลากหลายผ่านเข้ามาในชีวิตนั้น.......หมดไปแล้ว......มันผ่านมา....แล้วก็....ผ่านไป......ไม่อาจย้อนคืน........
“มาทางนี้สิ” ประตูไม้ถูกผลักให้เปิดออกไปสู่ระเบียงทางลงไปยังทุ่งกวาง
แสงอาทิตย์ที่ส่องมายังดอกไม้ที่ชูช่อบานสะพรั่งรับแสงนั้นสวยเสียจนบรรยายออกมาไม่ได้
ร่างบางก้าวลงไปตามทางเดินที่ทอดยาวตลอดแนว
“บอสอยากให้เธอเห็นมากเลย ดอกอเคเซียที่บานแล้วน่ะ” คนพูดแสดงความภูมิใจออกมาชัดเจน ผิดกับคนฟังโดยสิ้นเชิง
“สัญญา............” นายเคยให้ฉันไว้ไม่ใช่เหรอ
“มาดูด้วยกัน..........สองคนนะ” ฉันกลับมาที่นี่ เพื่อมาทวงคำสัญญาที่นายให้ไว้
“เจ้าม้าพยศ นายผิดสัญญา” ร่างบางกำมือแน่นด้วยความโกรธที่ประดังเข้ามา
“กล้ามากเลยนะ” มือบางคว้าอาวุธคู่กายขึ้นมาแนบตัว
“ฉันจะทำลายมันให้หมด.....ดอกไม้พวกนี้” มือไวเท่าความคิด ชั่วพริบตา
ดอกไม้ตรงหน้าก็เหลือเพียงแค่ลำต้นที่หักล้ม......หมดสิ้นความงดงาม
“ดอกไม้ที่นายหวง ดอกไม้ที่นายชอบนักชอบหนา” ช่อแล้วช่อเล่า ดอกไม้ที่น่าสงสารถูกถอน ถูกหักกระจุยกระจายไปทั่ว
“ฉันไม่ได้ต้องการมันซักนิด” ดอกไม้ที่หายไป ไม่ได้ช่วยให้ความโกรธลดลงแม้แต่น้อย
“เคียวยะ หยุดเถอะได้โปรด” ผู้ที่เฝ้ามองไม่สามารถจะเข้าไปห้าม
ที่ทำได้ก็แค่เพียงร้องขอให้ร่างบางหยุดการกระทำของตนสักที
“เพราะหมอนั่น เจ้าม้าพยศ ฉันเกลียดนาย!!!!” มือบางเงื้อขึ้นพร้อมที่จะฟาดลงไปอีกอย่างไม่ต้องนับความเสียหาย
“เคียวยะ ฉันขอโทษนะ” สายลมกรรโชกแรง พัดผ่านร่างบางให้หวนนึกถึงคำของร่างสูงที่เอ่ยไว้ในความฝัน
“ทำไมฉันต้องคิดถึงนายด้วย.......” ร่างบางลดอาวุธลงพลาง มองดอกไม้ที่ล้มตายด้วยน้ำมือของตน
นี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งสินะ......ที่ไม่อาจย้อนคืนได้ ถ้าจะมารู้สึกเสียใจที่ทำ
ก็คงจะสายไปเสียแล้ว.......แต่คนอย่างเขาทำไมจึงต้องมารับรู้เรื่องราวไร้สาระแบบนี้ด้วย
“เคียวยะ คือ เอ่อ......บอสฝากนี่ไว้ให้” เมื่อเห็นว่าร่างบางสงบลง คนที่ได้แต่เฝ้าดูจึงมอบสิ่งที่ถูกฝากไว้ให้แก่เจ้าของที่แท้จริง
“อะไร.......” ร่างบางมองสิ่งที่ถูกยื่นให้ด้วยความสงสัย
“ไดอารี่ของบอสน่ะ” ร่างบางรับสมุดที่ห่อหุ้มด้วยปกหนังสีดำมาไว้
สภาพที่เรียบร้อยบ่งบอกได้ถึงการเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี
“แล้วเอามาให้ผมทำไม” ถึงแม้จะรับมันมาไว้
แต่ก็ยังมีคำถามมากมายที่ต้องการคำตอบ
“บอสคงอยากจะบอกอะไรกับเธอน่ะ” คำตอบที่ได้ ไม่ทำให้ข้อสงสัยที่ค้างคาใจอยู่กระจ่างขึ้นสักนิด
“แต่บอสคงจะมีเหตุผลล่ะ” ยิ่งพูดก็ยิ่งไม่ได้อะไร
สิ่งเดียวที่จะทำให้ได้คำตอบ ก็คงมีเพียง.....ต้องอ่านมันเท่านั้น แต่ว่า.....
“คนอย่างหมอนั่น........จะมีเหตุผลอะไร”
17 กุมภาพันธ์ .......
ฉัน ดีโน่
คาวัลโลเน่ นี่เป็นการเขียนบันทึกเปนภาษาญี่ปุ่นคั้งแรก
ที่ฉันเขียนก้อเพาะอยากจะเล่าเรื่องต่างๆของฉันให้คนๆนึงได้รับรู่
ถึงเขาจะไม่อยากรู่ ก้อเถอะนะ ให้ตาย!!! ตัวคันจิอะไรเนียเขียนยากจัง
“ลายมือห่วยแตกชะมัด” คำสบถจากริมฝีปากได้รูปที่กำลังอ่านบันทึกนั้นแบบผ่านๆ
โดยไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมากนัก ตัวหนังสือที่ดูยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ
แถมเขียนผิดเขียนเขียนถูกซะหลายคำ แทบไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าพึ่งจะฝึกเขียนแน่ๆ
นี่!
วันนี้ฉันไปดุดอกไม้ที่อยากจะปูกมาล่ะ แล้วก้อใด้ดอกไม้ที่ชื่อ อเคเซียมา
รุปที่ฉันเห็นตอนมันบาน สวยมากเลย ฉันก้อเลยอยากจะให้เคียวยะใด้มาดุตอนมันบานมากๆ
เคียวยะต้องชอบแน้ๆ
“ฮึ...” รอยยิ้มสดใสที่ไม่มีใครเคยได้เห็น
ปรากฏชัดบนใบหน้าสวย ถึงจะเพียงชั่วครู่ก็ตาม
ฉันก้อเลยเอาปูกเอาไว้เตมทู่งเลย
เวลามันบานพ้อมๆกันต้องสวยยิ่งขึ้นไปอีกจิงไหม?
“ใช่ มันสวยมาก” แววตาที่ส่องประกายงดงามบ่งบอกได้ว่าสิ่งที่พูดออกไป.....เป็นความจริง
แล้วพอมันบาน.....ฉันก้อจะไปรับเคียวยะมาดุ+55 เออ นั่นสิ แล้วมันจะบานเมื่อไหร่ล่ะเนีย
“งี่เง่าชะมัด” ปากก็เอ่ยว่า
แต่กลับอมยิ้มจนแก้มปริ...
วันนี้พอแค่นี้ก่อนดีกว่า
คือที่จิงไม่รุจะเขียนอะไรแล้วอ่ะ...ดีโน่
“เจ้าบ้า......” จากการอ่านบันทึกธรรมดาๆที่ดูไร้สาระ กลับกลายเป็นเรื่องสนุกขึ้นมากระทันหัน
ใครจะไปเชื่อว่า ท่านฮิบาริ เคียวยะ หัวหน้ากรรมการคุมกฎแห่งนามิโมริ
จะใช้เวลาเกือบทั้งวันไปกับการอ่านและตอบคำถามในสมุดบันทึกเล่มนี้อย่างจริงจัง.......
เวลาไม่อาจย้อนกลับ...........นับวันจะลาไกล
สายน้ำที่ไหลไป.................ก็ยังไหลไปไม่หยุดนิ่ง
สิ่งที่สูญเสียไป..............ก็ไม่อาจได้คืน
ไม่มีวัน........................ที่จะได้คืนกลับมา
28 กรกฎาคม
เคียวยะมาดูดอกอเคเซียด้วยล่ะ ^^
วันนี้ฉันพาเคียวยะมาดูดอกอเคเซียแล้ว แต่มันยังไม่ยอมบานเลยสักต้น
พอเคียวยะเห็นเข้าก็เลยโกรธมาก ฉันไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยให้สัญญาไปว่า
จะพามาดูให้ได้ ถ้ามันบานนะ แต่ก็ไม่รู้มันจะบานตอนไหน อยากให้เคียวยะได้เห็นเร็วๆจัง..................................
“ก็เห็นแล้วนี่” ร่างบางเอ่ยออกมาพลางมองไปรอบๆตัว
ดอกอเคเซียแข่งกันบานจนเต็มทุ่งไปหมด ร่างบางทรุดตัวลงนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ตั้งตระหง่านเพียงต้นเดียว มองดูก็เป็นจุดชมวิวที่สวยไม่น้อย
ฉันนี่แย่ชะมัด
ทำไมชอบทำให้เคียวยะโกรธก็ไม่รู้ ทั้งๆที่เวลายิ้มท่าทางจะน่ารัก
แต่ก็แทบไม่เคยยิ้มให้เห็นเลยสักครั้ง เศร้าแฮะ
“ใครไม่ยิ้มกัน” ใบหน้าหวานแดงระเรื่อ
ก่อนจะกลับมาพิจารณาตัวหนังสือที่ดูจะสะอาดเรียบร้อยขึ้นกว่าหน้าแรกๆ
และคำผิดที่มีน้อยลง เห็นได้ชัดว่า ผู้เขียนนั้นใส่ใจในการฝึกภาษาที่ตนไม่คุ้นเคยมากแค่ไหน
ฉันอยากทำให้เคียวยะดีใจ ฉันอยากเห็นเคียวยะยิ้ม
และฉันอยากเป็นคนที่ทำให้เคียวยะมีความสุข ฉันจะทำได้มั๊ยนะ ไม่ใช่!!! ต้องทำได้สิ
เคียวยะฉันสัญญาว่า ฉันจะทำให้ได้เลย
ดีโน่
“สัญญา งั้นเหรอ?.... ทำเป็นอย่างเดียวรึไง” มือเรียวปิดสมุดลงพร้อมกับเอนหลังพิงต้นไม้เพื่อผ่อนคลาย
นัยน์ตาคู่สวยจ้องมองท้องฟ้าอย่างกับต้องการจะค้นหาอะไรบางอย่าง.....อะไรที่ขาดหายไป
แต่จะต้องค้นหาสักเท่าไหร่.....ถึงจะพบ
“...วยะ.....เคียวยะ” เสียงทุ้มต่ำที่ดูอบอุ่นและคุ้นเคย
มือคู่เดิมที่มักจะฉุดรั้งเขาเอาไว้ไม่ให้หนีไปเวลาโมโห มีคนเดียวเท่านั้น
ที่เรียกชื่อเขาโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต.....หมอนั่น
“ม้าพยศ........” ร่างบางรีบลุกขึ้นเพื่อมองหาคนที่กล้ามารบกวนเวลาพักผ่อน
ทั้งๆที่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“มานี่สิ เคียวยะ” ผมสีทองที่ปลิวไสวต้องแสงแดด
ดูงดงามเช่นเคย ร่างสูงในชุดเสื้อยืดธรรมดาที่ชอบใส่เป็นประจำ
กับรอยสักที่เป็นเครื่องยืนยันได้ว่าไม่ผิดแน่ๆ
ดีโน่ คาวัลโลเน่ บอสรุ่นที่ 10 แห่งคาบัคโรเน่ แฟมิลี่.....แต่ว่า
“โกหก!!! นาย ไม่.....ไม่จริง ฉัน” ร่างบางไม่สามารถเก็บอารมณ์ไว้ได้ สองเท้ารีบก้าวเข้าหาอีกฝ่ายไม่หยุด
คราวนี้คนตรงหน้าไม่ได้หนีไปไหน เขายังคงยืนอยู่ที่เดิมและยิ้มอย่างสดใส
“จริงสิ ฉันก็อยู่ตรงนี้ไง” ร่างสูงตอบอย่างกวนๆกับร่างบางที่เร่งฝีเท้าเข้ามาจนแทบจะกลายเป็นวิ่ง
“ฉันไม่เชื่อ!!!” ร่างบางกระโจนเข้าใส่อีกฝ่ายสุดแรง
“ดะ.....เดี๋ยว เคียวยะ อึก!!!” ร่างสูงร้องห้าม แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว
“โอ๊ย~~ เจ็บนะ เคียวยะ
เป็นอะไรไป” ความเจ็บแล่นไปทั่วแผ่นหลังที่ลงไปกระแทกกับพื้นเต็มแรง
“เจ็บตรงไหนรึเปล่า อย่าเงียบสิ เคียว......”
“นายเป็นใคร” ร่างบางขึ้นคร่อมอีกฝ่ายพร้อมกับใช้อาวุธคู่กายดันใบหน้าของร่างสูงขึ้น
“ห๊ะ หา!!! ก็ฉันไง ดีโน่” คำถามแรกก็เล่นเอาอึ้ง
ร่างสูงจึงต้องรีบสำรวจความเสียหายของคนตรงหน้า
ว่าคงไม่ได้ล้มกระแทกจนความจำเสื่อมหรืออะไร....
“ไม่จริง นายเป็นตัวปลอมใช่มั๊ย?” ร่างบางไม่มีทีท่าว่าจะเชื่อเลยสักนิด
“ไม่ใช่นะ ฉันนี่แหละ ดีโน่” แต่อีกฝ่ายก็ยังคงยืนยัน
“...............................”
ใบหน้าหวานก้มลงต่ำ ไม่มีคำพูดใดๆ
เล็ดรอดออกมาจากริมฝีปากบางแม้แต่น้อย
“เคียวยะ....เป็นอะไรมั๊ย” ร่างสูงค่อยๆขยับขึ้นมาดูอาการของคนตรงหน้า
พร้อมกับเอื้อมมือไปหมายจะปลอบโยน
“แปะ......แปะ” หยดน้ำใสที่ร่วงลงกระทบมือ
ทำเอาผู้หวังดีถึงกับชะงัก
“จะ...เป็นไปได้ไง......นาย.....ตายไปแล้วนี่” เสียงหวานสั่นเครือ แม้จะไร้เสียงสะอื้น
แต่น้ำตาก็ยังคงเอ่อล้นออกมาไม่ยอมหยุด
“เคียวยะ.....”
“คงเป็นฝัน....สินะ เดี๋ยวนายก็จะ......หายไปอีก แล้วฉันก็ต้องตื่น.......ไปพบกับความจริง...ว่านายไม่มีตัวตน......อยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว” คำพูดที่ถูกเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่มีมากมาย
ราวกับว่ากำลังสารภาพสิ่งที่อยู่ในใจมาตลอด
“นายจะ....หายไปอีกใช่มั๊ย...” ความรู้สึกที่...........ทรมาน...แทบขาดใจ
*หมับ*
ร่างสูงฉุดร่างบางเข้ามาเพื่อปลอบโยน
เขาทนไม่ได้ที่จะเห็นน้ำตาของคนที่เขาทั้งหวงและห่วง
“อย่าร้องนะเคียวยะ
ทั้งๆที่ฉันตั้งใจจะทำให้เคียวยะมีความสุขแท้ๆ........แต่.....ฉันกลับ....ทำให้เคียวยะเสียใจขนาดนี้
ฉันขอโทษนะ”
ถ้าสามารถทำได้......เขาอยากจะแบ่งเบาความทุกข์นั้นมาบ้าง
ไม่ก็อยากจะรับมันมาไว้เองทั้งหมด
ไม่อยากเลย......ไม่อยากให้คนตรงหน้าต้องหม่นหมอง......เขาไม่อยากเห็น
“แต่...ฉันก็ดีใจนะ ที่รู้ว่าเคียวยะเองก็เป็นห่วงฉันเหมือนกัน” ร่างสูงเอ่ยหยอกเย้าพลางกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น
“ใคร......ใครเป็นห่วงนาย ปล่อยฉัน” ร่างบางผละตัวออกจากวงแขนแกร่ง พร้อมกับลุกขึ้นยืนแทบจะทันที
“ก็....เคียวยะพูดเองนี่นา แถมยัง...ร้องไห้...ด้วย” เพียงเพราะท่าทีที่ดูจะแสดงความปลื้มจนเกินไปนั้น
กลับทำให้บรรยากาศที่อบอุ่นอยู่เมื่อครู่ เริ่มจะร้อนขึ้นมากระทันหัน
“ฉันพูดตอนไหน แล้วใครร้องไห้ ฉันก็แค่แสบตา
เพราะผมนายมันสะท้อนกับแสงแดดก็เท่านั้น” ร่างบางแก้ตัวก่อนจะหันหลังตั้งท่าจะหนีลูกเดียว
“เดี๋ยวสิ!!! เคียวยะ” ร่างสูงๆรีบดันตัวยืนขึ้น
“ฉันไม่อยากเห็นหน้า
คนที่ชอบผิดสัญญาอย่างนาย จะไปไหนก็ไป” ร่างบางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ประหนึ่ง ท่านฮิบาริ เคียวยะได้กลับมาแล้ว
“เคียวยะ......แล้วถ้าฉัน......ไปจริงๆ......นายจะร้องไห้อีกรึเปล่า?” ตรงกันข้ามกับอีกคน ภายใต้ใบหน้าที่โศกเศร้า
ใจของเขายังคงเป็นห่วงคนตรงหน้านี้ที่แสนสำคัญเสมอ
“.....ถ้านายไป.......ก็อย่ากลับมาให้เห็นหน้าอีก” ถึงหัวใจจะแอบไหวหวั่นเพียงเล็กน้อย แต่ร่างบางยังแทบคุมอารมณ์ของตัวเองไว้ไม่ได้
“งั้นฉันก็......จะอยู่กับเคียวยะที่นี่แหละ ฉันสัญญา” วงแขนแกร่งรวบตัวร่างเล็กเข้ามากอดอีกครั้ง เหมือนกับต้องการส่งผ่านความรู้สึกที่มี
ผ่านอ้อมกอดนี้ไปถึงอีกฝ่าย......
“คนโกหก!
นายสัญญาแล้วเคยทำได้มั๊ย?” คำพูดที่ดูประชดประชัน
ต่างจากน้ำเสียงที่กลับดูโล่งใจ
“ไม่หรอกนะ
ฉันจะอยู่ที่นี่ อยู่ข้างๆเคียวยะ พาเคียวยะมาดูดอกไม้ทุกครั้งที่มันบาน
เราจะมาดูด้วยกันตลอดไปนะ” ร่างสูงกล่าวอย่างหนักแน่น
“พูดแล้วก็ทำให้ได้ล่ะ” ไม่มีสิ่งไหนที่ร่างบางจะคาดหวังไปมากกว่านี้.......หวังว่าร่างสูงจะไม่ผิดสัญญาอีก
‘ทำให้ได้นะม้าพยศ
เพราะว่า.....ฉันเชื่อใจนาย’
“อืม....ที่นี่มัน” แสงอาทิตย์ยามอัสดงที่สาดส่องเข้ามา
ปลุกให้ร่างบางบนโซฟาตัวยาวตื่นขึ้นจากนิทรา
“ม้าพยศ......นายอยู่ไหน?” ร่างบางหันมองไปรอบๆห้องนี้
แต่ก็ไม่พบบุคคลที่ตนตามหา
“ตื่นแล้วเหรอ เคียวยะ” เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับประตูที่เปิดเข้ามา
ร่างบางรีบหันไปทางต้นเสียงแทบจะทันที....แต่นั่นกลับไม่ใช่คนที่หวังจะได้เจอ
“เป็นยังไงบ้าง....ดูท่าทางหลับสบายดีนะ” เป็น....โรมาริโอ้ต่างหาก ที่เดินเข้ามา
“นั่นสินะ....หมอนั่นไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้วนี่.....เราก็แค่...ฝันไป” ร่างบางพยายามสลัดไล่ความฝัน
ก่อนจะมองออกไปทางทุ่งดอกไม้ที่ถูกฉาบด้วยสีเพลิงของแสงอาทิตย์ยามเย็น ถึงแม้จะดูงดงาม....แต่ก็ดูเงียบเหงา
“สวยมากเลยว่ามั๊ย บอสน่ะเป็นคนวางแปลนบ้าน
แล้วก็ดูแลการจัดการตกแต่งภายในด้วยตัวเองเลยนะ บอสตั้งใจสร้างบ้านพักหลังนี้ไว้ให้เป็นของขวัญกับเธอโดยเฉพาะ
แล้วห้องนี้ก็พึ่งจัดเสร็จเรียบร้อยเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เอง เพราะมันเป็นห้องที่บอสตั้งใจ
จะเอาไว้ดูอาทิตย์ตกกับเธอ
ตอนเช้าๆถ้าเดินลงไปทางระเบียงก็ยังสามารถดูพระอาทิตย์ขึ้นได้ด้วย........บอสอยากให้เธอชอบมันนะ....” ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม ยามเมื่อนึกถึงความตั้งใจของผู้เป็นนาย
“ผมชอบมัน....” ร่างบางเอ่ยขึ้นเบาๆ
“ฉันดีใจแทนบอสจริงๆ” โรมาริโอ้ยิ้ม
“แต่มันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าไม่ได้ดูกับหมอนั่น ตามที่สัญญากันไว้” มือบางเผลอกำแน่นเมื่อพูดถึงเรื่องนี้
“พวกเราต้องขอโทษจริงๆ... ที่ปกป้องบอสไม่ได้” รอยยิ้มเมื่อครู่หายไปแทบจะทันที
“ช่างมันเถอะ คนตายไปแล้ว เราจะไปปลุกให้ตื่นขึ้นมาได้ยังไง” ถึงจะพูดเหมือนกับไม่สนใจ แต่ท่าทีกลับตรงกันข้าม
“เคียวยะ พรุ่งนี้ฉันจะพาไปที่ที่นึง...” โรมาริโอ้เอ่ยเสียงเรียบ
“ที่ไหน..?”
“สถานที่ ที่บอสจะหลับอยู่ที่นั่นอย่างเป็นสุขตลอดไป” ปลายเสียงดูหดหู่เหมือนกับว่าไม่อยากจะเอ่ยถึง
“...สุสานสินะ” สถานที่เพียงแห่งเดียวนั้น
จะเป็นที่ไหนไปได้นอกจากที่นี่....ที่สุดแห่งวาระสุดท้ายของชีวิต
“รีบพักผ่อนด้วยนะ พรุ่งนี้ฉันจะมาปลุก” โรมาริโอ้กล่าวก่อนจะหันหลังแล้วเดินจากไป
“ขอบคุณ” เสียงหวานเอ่ยเบาๆ
“อ้อ! เคียวยะ ดอกอเคเซียที่เธอเอามาปักแจกันในห้องสวยมากเลยนะ
พรุ่งก็อย่าลืมเอาไปฝากบอสบ้างล่ะ” โรมาริโอ้หยุดอยู่ที่ประตูพร้อมกับหันไปให้ความสนใจแจกันที่อยู่ตรงมุมห้อง
“ดอกไม้...ปักแจกัน...” ร่างบางอึ้งอยู่ชั่วครู่พลางหันไปมองตาม
“...........................................”
นัยน์ตาหวานจับจ้องที่ดอกไม้ในแจกันอย่างไม่วางตา
“ไม่ใช่ฉัน...ซักหน่อย” เสียงหวานเริ่มสั่นเครือ
พร้อมกับเบือนสายตามาทางทุ่งดอกไม้แทน
‘ใครเป็นคน.......เอามาปักไว้...’
‘ถ้าไม่ใช่เรา....ไม่ใช่คนอื่นๆ’
‘นายรึเปล่า.....ที่เป็นคนเอามันมาปักไว้’
‘นายใช่มั๊ย...........ที่พาฉันมานอนตรงนี้’
“แล้วตอนนี้....นายอยู่ที่ไหน.....ม้าพยศ”
สองข้างทางถูกประดับประดาไปด้วยต้นไม้ใหญ่
ปลายยอดที่เบนเข้าหากันโดยธรรมชาติดูคล้ายซุ้มประตูโค้ง ที่คอยต้อนรับแขกผู้มาเยือน
พุ่มไม้เล็กๆออกดอกสีสันสดใส กลีบดอกไม้ที่โปรยพลิ้วร่วงลงตามท้องถนนดูราวกับพรมสีฉูดฉาดที่ทอดยาว
บ้างก็พัดผ่านไปตามสายลมแผ่วเบา รถเก๋งสีดำคันหรูวิ่งตรงมาไกลจนถึงหน้าประตูเหล็กบานใหญ่ที่เชื่อมติดกับรั้วสูงเพื่อป้องกันผู้บุกรุก
‘CAVALLONE FAMIGLIA’
ชื่อที่ถูกสลักไว้บนแผ่นหินอ่อนที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านใน ก่อนถึงทางเข้าที่มุ่งหน้าสู่สุสานประจำตระกูล
ข้างๆมีหลุมศพมากมายที่จารึกไว้ว่าเป็นคนในแฟมิลี่
ทุกคนเมื่อตายจะถูกนำมาทำพิธีและฝังลงที่นี่
เพราะพวกเขาเชื่อว่าวิญญาณของคนที่จากไปจะคอยปกป้องคนที่ยังอยู่ รถเก๋งแล่นเข้ามาจอดด้านหน้าโบสถ์หลังสีขาวสะอาด
เพียงแค่ก้าวเท้าลงเหยียบพื้นทางเดินที่เชื่อมต่อไปทุกแห่งในสถานที่นี้
ความรู้สึกที่อ้างว้างแล่นตรงเข้ามาในหัวใจ บรรยากาศนั้นหมองหม่นและเดียวดายเสียจนน้ำตาแทบไหลออกมา
แต่สองเท้าก็ไม่อาจก้าวหนีไปจากตรงนี้ได้
“เข้าไปข้างในกันเถอะ” โรมาริโอ้เข้ามาเรียกร่างบางที่ยืนนิ่งราวกับต้องมนต์ให้ตื่นจากภวังค์
“อะ...อืม” ร่างบางก้าวตาม
พร้อมกับกระชับอ้อมกอดที่เต็มไปด้วยช่อดอกอเคเซีย
พวกเขาเดินเข้ามาในโบสถ์ที่ทำด้วยหินอ่อนทั้งหมด ภายในจัดอย่างเป็นระเบียบแต่ให้ความรู้สึกเรียบง่าย
เบื้องหน้าของพวกเขาคือแท่นพิธี แค่เพียงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยก็จะพบผลงานงานปฏิมากรอันงดงามของพระศาสดาที่ถูกปรักตรึงอยู่บนไม้กางเขน
ใบหน้าที่สลักอย่างประณีตสื่อให้เห็นถึงความโศกเศร้าและเจ็บปวด จนเผลอคล้อยตาม.........
“จากตรงนี้ เธอกับฉันจะไปได้แค่สองคน” โรมาริโอ้เอ่ยพร้อมกับยังคงเดินนำร่างบางไปเรื่อยๆ ส่วนคนอื่นๆที่เหลือทำได้แค่รอ
“จะพาผมไปไหน” ร่างบางถามขึ้น
เมื่อความมืดเริ่มครอบงำทางเดินที่พวกเขาผ่านมาทางด้านหลังแท่นพิธี
“ก็ไปหาบอสน่ะสิ” โรมาริโอ้ตอบก่อนจะหยุดอยู่ตรงหน้ากำแพงที่ดูเหมือนจะเป็นทางตัน
มือหยาบผลักกำแพงที่ขวางหน้าออก มันคือประตูลับ ด้านหลังบานประตูยังมีบันไดแคบๆ
ที่เชื่อมต่อลงไปยังอีกชั้น แสงจากโคมไฟที่ประดับไว้ตามกำแพงส่องกระทบกับผิวหินอ่อนทำให้ทางเดินดูสว่างไสว
“ที่นี่เปรียบเสมือนสุสาน ของผู้ที่เป็นบอสของคาบัคโรเน่” โรมาริโอ้เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบขณะที่พวกเขาเดินลงบันไดมายังอีกชั้นหนึ่ง
“พวกเราสมาชิกในแฟมิลี่จะพาร่างของบอสมาไว้ที่นี่
พร้อมกับสิ่งที่เป็นความทรงจำอันสำคัญของเขา ปิดตายทุกสิ่งไว้ มีเพียงคนที่จะเป็น
บอสรุ่นต่อไปเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ได้เห็น”
“ทำสืบทอดกันมาตั้งแต่รุ่นที่1 รุ่นที่ 2......” เสียงของโรมาริโอ้ยังคงเอ่ยต่อไป
แต่อะไรก็ไม่ดึงดูดสายตาของร่างบางไปมากกว่าภาพของผู้นำแห่งคาบัคโรเน่
ทุกคนล้วนมีเส้นผมสีทองอำพันและนัยน์ตาสีเดียวกัน แทบจะเป็นสัญลักษณ์ที่ระบุตัวผู้สืบทอดรุ่นต่อไป
และทุกคนก็ยังสง่างามในชุดสูทสีดำสมเป็นมาเฟียที่ยิ่งใหญ่ เว้นก็แต่......
“จนมาถึงรุ่นที่10” พวกเขาหยุดอยู่ตรงหน้าบานประตู บานสุดท้าย.....ชายหนุ่มในชุดสูทสีขาว กับใบหน้าอันแสนคุ้นเคย
— CAVLLONE X –
DINO
CAVALLONE
“แต่เธอ....เคียวยะ เธอเป็นคนสำคัญของบอส เธอจึงได้รับอนุญาตให้เข้าไป” ร่างบางเผลอกระชับช่อดอกอเคเซียในอ้อมกอดแน่นขึ้นทันทีที่เมื่อได้ยินประโยคนี้
“คนสำคัญ.......งั้นเหรอ”
“เข้าไปสิ เคียวยะ” โรมาริโอ้ยื่นบางสิ่งมาให้
มันคือกุญแจที่ประทับตัวอักษร X กุญแจที่สามารถเปิดประตูบานนี้ได้
มือเรียวรับมันมาก่อนที่จะเดินไปยังประตู
“กริ๊ก” เสียงสลักที่ถูกปลดล๊อค พร้อมกับประตูบานใหญ่ที่เปิดออก
“ฉันจะรออยู่ข้างนอก” โรมาริโอ้ยังยืนอยู่ที่เดิม
ปล่อยให้ร่างบางได้เข้าไปข้างในเพียงลำพัง
ประตูค่อยๆปิดลง เมื่อร่างบางเดินหายไปจากคลองสายตา ร่างบางก้าวอย่างช้าๆ
ทอดสายตามองไปรอบๆห้องทั้งสองด้าน
ที่ประดับไปด้วยภาพแห่งความทรงจำอันมีค่าในกรอบรูปลายสวย วันเวลาที่ผ่านพ้นไปยิ่งนานมากเท่าไหร่
เรื่องราวที่อยากจดจำก็มากขึ้นเท่านั้น
“หมอนี่เคยโกรธใครบ้างมั๊ย” ร่างบางเอ่ย
ทุกภาพที่เดินผ่านไม่ว่าภาพไหนๆ ร่างสูงในภาพ...ก็ยังคงรอยยิ้มเอาไว้ไม่เคยเปลี่ยน
เขามักจะอารมณ์ดีไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายแค่ไหน
นัยน์ตาคู่สวยยังคงจับจ้องไปที่ภาพบนผนัง ภาพแล้ว...ภาพเล่า.....ผ่านไป
จนมาสะดุดที่ภาพ....ภาพหนึ่ง
“นี่มัน........” กรอบรูปขนาดใหญ่ที่ใส่ภาพของ...
“รูปฉัน?” ร่างบางแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ภาพของตนขณะที่ยิ้มอย่างที่เจ้าตัวก็ยังไม่เคยเห็น
“แอบถ่ายได้ล่ะ เคียวยะยิ้มแล้วน่ารักเนาะ.... ดีโน่” ตัวหนังสือเล็กๆที่ถูกเขียนอยู่ตรงมุมภาพ
ที่แปลกก็คือมันเป็นภาษาญี่ปุ่น อย่างกับจงใจให้เจ้าตัวเข้ามาเห็น
“ตอนไหนกัน” แก้มใสเริ่มแดงระเรื่อ
พร้อมกับเบือนสายตาไปมองภาพอื่นแทน แต่ก็.....
“อะ....อะไรกัน” เมื่อมองไปทางภาพอื่นก็เจอแต่ภาพของตน
ไม่ว่าภาพนั้น.....ภาพนี้...หรือ ภาพไหน
“เจ้าบ้า...ม้าพยศ” ไม่ว่าจะเป็นภาพของเขาคนเดียว
หรือภาพที่ถ่ายคู่กัน ไม่มีภาพไหนเลยที่เขารู้ว่าตัวเองถูกถ่าย ไม่ว่าจะอิริยาบถไหนๆก็ถูกบันทึกเอาไว้หมด
ราวกับว่ามันออกมาจากความทรงจำในสมองซะมากกว่า......
ร่างบางยังคงเดินดูภาพเหล่านั้นมาเรื่อยๆ
จนมาถึงหน้าโลงแก้วซึ่งอยู่ด้านในสุดของห้องนี้ ร่างบางก้าวช้าๆให้เข้าใกล้มากขึ้น ภายในโลงแก้วคือร่างอันไร้วิญญาณของร่างสูงที่สวมชุดสูทสีขาวสะอาดตัดกับดอกกุหลาบสีแดงสดที่ล้อมรอบร่างนี้เอาไว้
แสงจากโคมไฟที่ส่องลงมายังโลงแก้วสว่างจ้าเสียแทบนึกว่าเจ้าของร่างนี้จุติลงมาจากสวรรค์
หากแต่ว่าเจ้าของร่างกลับไม่อาจ.......จะตื่นขึ้นมาได้อีกแล้วก็เท่านั้น
“ทิ้งคนอื่นเค้าทุรนทุราย.....แล้วมาตายจากไปแบบนี้
เห็นแก่ตัวเกินไปแล้วนะ” ร่างบางเอ่ยตัดพ้อเบาๆกับร่างที่หลับใหลอยู่ในนิทราอันแสนไกล
“หลับสบายดีสินะ.......ฉัน” อย่างกับว่าคำพูดที่อยากจะพูดนั้นมันไม่สามารถจะเอ่ยออกมาได้
“ฉันน่ะ.........” เพราะไม่มีคำไหนสามารถจะอธิบายความรู้สึกนี้ได้เลย
“ห้องนี้ของเคียวยะนะ ใช้ได้ตามสบายเลย” ร่างสูงผมทองเปิดประตูเข้ามายังห้องนอนที่ถูกจัดอย่างหรูหรา
“ฉันไม่ชอบ” แต่กลับไม่เป็นที่ถูกใจร่างบางเลยแม้แต่น้อย
“ไหงงั้นล่ะ ฉันอุตส่าห์ให้คนจัดไว้สำหรับเคียวยะเลยนะ” ร่างสูงเอ่ยเสียงอ่อย
“ก็ฉันไม่ชอบ” ร่างบางเดินออกไปทันทีที่พูดจบ
“แล้วจะเอายังไงดีล่ะ เคียวยะ” ร่างสูงเห็นดังนั้นจึงรีบตามออกมาง้อ
“พาไปห้องนายสิ” ร่างบางเอ่ยเสียงเรียบ
“หะ......หา? แต่ว่า...” ร่างสูงร้องเสียงหลง
“เร็วๆ ฉันง่วงแล้ว ฮ้าว~” ร่างบางออกคำสั่ง
“อืมๆ....ก็ได้” ร่างสูงตอบก่อนจะเดินนำมายังห้องของตน
“มันอาจจะไม่ได้ดูดีอะไรนะ ห้องฉันน่ะ” ร่างสูงเปิดประตูก่อนจะปล่อยให้ร่างบางเดินเข้ามา
“เอ่อ คือ......” ราวกับกำลังรอคำติชมจากกรรมการ
“......................”แต่ก็ไม่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ
“เคียวยะ......” ร่างสูงเรียกร่างบางเบาๆ
“ฉันจะนอนห้องนี้แหละ” ไม่ว่าเปล่าร่างบางเดินไป ยังเตียงกว้างของร่างสูง
พร้อมกับเตรียมตัวนอนทันที
‘ห้องดูดีผิดคาด เตียงก็อุ่น......ฮึ’ ร่างบางคิดพลางดึงผ้าขึ้นมาห่ม
“เดี๋ยวสิ เคียวยะ” ร่างสูงรีบร้องประท้วง
“นายเองก็รีบมานอนได้แล้ว” ว่าเสร็จร่างบางก็ล้มตัวลงนอน
“จะ...จะดีเหรอ” ร่างสูงเอ่ยขึ้นกลัวๆ
“แล้วแต่ จะไปนอนข้างนอกก็ได้ ฉันไม่ว่า” กลายเป็นร่างบางแทน ที่กลับทำตัวเป็นเจ้าของห้อง
“ไม่อาว..........ว” ร่างสูงรีบวิ่งมาที่เตียงแล้วดึงผ้ามาห่มเช่นกัน
“แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง” ร่างบางเอ่ยทั้งๆที่หลับตาไปแล้ว ความเงียบเริ่มเข้าครอบงำภายในห้อง
“นี่......เคียวยะ”
“อยากไปนอนบนสวรรค์รึไง อย่ากวน” ร่างบางกล่าวเสียงเย็น
“ก็.....อืม.....ฝันดีนะ เคียวยะ” ว่าจบร่างสูงก็หลับไป
“งี่เง่าจริงๆ” ทั้งที่ปากเอ่ยว่า แต่ใจกลับปลื้มเสียจนแทบนอนไม่หลับ
แต่ก็เป็นคืนที่มีความสุขเหลือเกิน
“ฉันก็........อยากพูดเหมือนกัน” ร่างบางวางช่อดอกอเคเซียลงข้างโลงแก้วก่อนจะโน้มหน้าเข้าไปจนแทบชิดโลงนั้นข้างกับใบหน้าของร่างสูง เสียงหวานเอ่ยประโยคสุดท้ายนั้นก่อนที่จะเดินจากมา
“ฝันดีเช่นกัน....ม้าพยศ”
11 สิงหาคม .......
ดอกอเคเซียบานแล้วล่ะ ถึงจะแค่สองสามต้นเอง แต่ฉันก็ดีใจมากๆเลย
อยากให้เคียวยะมาดูด้วยจัง โรมาริโอ้บอกว่า อีก 2 วันจะได้ไปรับเคียวยะมาดูแล้ว
ฉันก็ยิ่งดีใจมากกว่าเดิมอีกนะ ดอกสีขาวนวล กลีบก็บางสวย อ่า~~~~อธิบายไม่ถูกเลยแหะ
เคียวยะจะดีใจมั๊ยนะ......รู้มั๊ยที่ฉันเลือกดอกอเคเซียมาปลูกน่ะก็เพราะมันเหมือนเคียวยะไง
ถึงจะดอกเล็ก แต่ก็งดงาม ถึงจะตัวเล็กแต่ก็น่ารัก ฉันคิดว่าอย่างนี้ นี่แหละ
อ่ะ!ต้องไปทำงานต่อแล้วจะได้ไปรับเคียวยะเร็วๆ.......ดีโน่
“หน้าสุดท้ายแล้วสินะ” ไม่ว่าจะพลิกต่อไปแค่ไหนก็เจอแต่ความว่างเปล่า
นั่นเป็นบันทึกครั้งสุดท้ายของเจ้าของสมุดนี้ก่อนที่จะไม่มีวันได้กลับมาเขียนอีก....
“ถึงจะตัวเล็กแต่ก็น่ารัก ฮึ...ไร้สาระชะมัด” มือเรียวปิดสมุดก่อนจะวางมันลงที่โต๊ะกระจกตรงหน้า
“ตึก! พรึ่บ~~” ด้วยความไม่ตั้งใจสมุดบันทึกหล่นลงกระทบพื้น
กระดาษแผ่นบางกรีดตัวพลิ้วจนมาหยุดอยู่ที่หน้าสุดท้ายของสมุด
หน้าที่ดูเหมือนว่าร่างบางจะเปิดไม่ถึงและคงไม่ทันได้สังเกต
“อเคเซีย......ความรักบริสุทธิ์
ที่ต้องหลบซ่อนปิดบังและไม่สามารถบอกออกไปได้......”
“ความรักบริสุทธิ์
ที่ต้องหลบซ่อนปิดบังและไม่สามารถบอกออกไปได้งั้นเหรอ” ภาพของอเคเซียที่เบ่งบานและความหมายที่บาดลึกเสียดแทงลงไปในความรู้สึก.......
.......ความรัก
หากไม่มีโอกาสจะได้บอกออกไป.......แล้วจะมีประโยชน์อะไรที่จะรู้สึก.......รัก
“นี่รอยพับอะไร” ร่างบางคลี่มุมกระดาษที่ถูกพับออกอย่างเบามือ
“ฉันรักเคียวยะ”
“ฮึก...” ในสมองขาวโพลน
ข้อความที่ถูกปิดบังไว้ เมื่อปรากฏออกมา ย่อมส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของผู้ที่ได้รับรู้.......โดยเฉพาะกับคนที่เราต้องการให้ได้รู้มากที่สุด
“แปะ......แปะ...”
ราวกับว่ามีพายุความรู้สึกลูกใหญ่ กำลังโหมกระหน่ำอยู่ภายใน เป็นอีกครั้งที่หยาดน้ำตารินไหลจากดวงตาคู่สวย
“มัน....ฮึก.....สายเกินไป.....แล้ว” ครั้งนี้คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันเอ่อล้นออกมาจากหัวใจอย่างมากมายเหลือเกิน
“ทำไม...ฮึก....ไม่บอก.....ตอนนายยังอยู่” มือบางกำแน่น ทั่วทั้งร่างสั่นไหว
“ทำไม!!! ทำไมไม่บอกด้วยตัวนายเอง” กำปั้นน้อยๆทุบลงบนโต๊ะกระจก
แรงที่ส่งผ่านไปแทบจะทำให้กระจกแตกออกเป็นเสี่ยง เหมือนกับหัวใจที่แหลกละเอียด
“ฉันก็เจ็บปวดเป็น….” เสียงหวานเริ่มแผ่วเบา
“ฉันก็เสียใจได้” ราวกับว่าต้องการบอกความรู้สึกนี้ฝากสายลม
ไปบอกกับอีกคนที่อยู่แสนไกล......
“แล้วฉันก็คง.......รักนาย......เหมือนกัน”
สายลมพัดเอื่อยๆลู่ไปตามทุ่งดอกไม้กว้างสุดลูกหูลูกตา
กลิ่นหอมอ่อนๆของอเคเซียฟุ้งกระจายไปทั่ว
เพื่อช่วยปลอบโยนจิตใจที่บอบช้ำของร่างบางแทนเจ้าของที่จากไป
สองเท้าก้าวเดินไปตามทางอย่างช้าๆ ในอ้อมกอดมีเพียงสมุดบันทึกเล่มสำคัญ
ก่อนจะมาหยุดตรงต้นไม้ต้นเดิม ต้นที่ได้พบกับร่างสูง
แม้จะเป็นแค่เพียง...ในฝันก็ตาม
“ไม่รู้ว่านายจะได้ยินรึเปล่า แต่ถ้าคราวหน้าที่มันบานอีก
สัญญากับฉันได้มั๊ยว่า นายจะมากับฉันอีก มาดูด้วยกันสองคนตอนที่มันบานแข่งกันจนเต็มทุ่ง” ร่างบางเอ่ย สายลมที่พัดอยู่ดีๆก็หยุดลง ราวกับว่าคำขอนั้นคงจะส่งผ่านไปไม่ถึง
“สัญญากับฉัน......ไม่ได้สินะ” เสียงหวานตัดพ้อ แม้เพียงจะเอ่ยออกมาลอยๆก็ตาม
“~~~ฟิ้ว~~~” แต่แล้วลมก็กลับมาพัดแรงอีกครั้ง ถ้าหากจะให้บอกคงเป็นความรู้สึกที่... ‘กำลังแก้ตัว’
“เจ้าม้าพยศบ้า” รอยยิ้มหวานผุดขึ้นมาพร้อมกับคำสบถน้อยๆ
“สัญญาแล้วนะ” ประโยคสุดท้ายของร่างบางถือเป็นคำขาด
ก่อนที่สองเท้าจะก้าวเดินออกไปอีกครั้ง
เพราะเวลาของเขายังคงไม่หยุดนิ่ง
หากแต่ความทรงจำนี้จะถูกบันทึกลงไปในสมุดบันทึกที่เรียกว่า “หัวใจ” ว่าคนที่จากไปนั้นยังคงอยู่เคียงข้างเขาเสมอ
ไม่เคยไปไหน “สัญญา” ที่ให้กันไว้ เขาจะคอยเฝ้ารอให้ถึงวันนั้น วันที่แสนสำคัญ “วันที่จะได้พบกันอีกครั้ง”
“ฉันสัญญานะ เคียวยะ”
…THE END…
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น